วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

เมื่อเทพเจ้า(สมมติ) ส่งพวกเขาไปตาย

สารคดีรายการหนึ่งในทีวี เป็นสารคดีเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง สมัยที่ญี่ปุ่นกับอเมริกาต่อสู้กัน

เรื่องมันเกี่ยวกับครั้งที่กองทัพญี่ปุ่นส่งทหารไปตาย
ถ้าใครจะจำได้เรื่องราวเกี่ยวกับคะมิคะเซะ (เทพเจ้าแห่งสายลม)
ถ้าใครจะจำได้ว่าเครื่องบินญี่ปุ่นบินพุ่งเข้าชนเรือรบบ้าง ฐานทัพสำคัญต่างๆ บ้างโดยไม่คิดชีวิต
ที่ครั้งหนึ่งกองทัพแห่งองค์จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นตั้งใจส่งให้คนไปตายเพื่อประเทศชาติ
และตายเพื่อแลกกับคำว่าชัยชนะ(ที่มองไม่เห็น)


สารคดีเรื่องนั้นเล่าเรื่องราวผ่านสายตาของหญิงสาววัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง (15 ปี)
และนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ต้องมีหน้าที่ไปตายเพื่อชาติ และเพื่อปกป้องประชาชน
มันโครตเศร้านะ ที่ต้องส่งคนเป็นๆ ไปตาย
และทหารที่ไปตายเพื่อประเทศ ก็เป็นการตายที่สูญเปล่า
ผมว่ามันไม่คุ้มหรอก ที่จะส่งใครไปตาย และไม่ว่าจะตายเพื่ออะไรก็ช่าง

สารคดีนั้นเล่าเรื่องผ่านสายตาหญิงสาวกลุ่มนั้นในมุมมองที่คนญี่ปุ่นไม่เคยรู้ (ในสมัยสงคราม)
เรื่องราวเกี่ยวกับการที่กองทัพส่งคนไปตายเพื่อชาติ
เบื้องหลังภาพของความโศกเศร้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด

พวกเธอมีหน้าที่ซักล้าง ดูแลข้าวปลาอาหารให้กับนายทหารกลุ่มนั้น
และหน้าที่สุดท้ายที่พวกเธอต้องทำก็คือ พวกเธอต้องไปส่งพวกเขาไปตาย
ภาพสุดท้ายที่ลานจอดเครื่องบินนับร้อย กับการบินลาลับจากไปทีละคนสองคน
พวกเธอต้องทำหน้าที่ยิ้มทั้งน้ำตา และโบกมือลานายทหารเหล่านั้นด้วยกิ่งก้านซากุระ
คนแล้วคนเล่า ภาพนั้นยังคงโหดร้ายและฝังลึกในจิตใจพวกเธออยู่เสมอ

ที่มาของภาพ วิกิพีเดีย


ไม่มีใครอยากไปตายหรอกครับ
หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นในสมัยนั้นเคยลงเอาไว้ว่า "พวกเขาเหล่านั้นยินดีตาย"
ทั้งที่ความเป็นจริงกับสิ่งที่เขียนลงไปในหนังสือพิมพ์มันต่างกันราวฟ้ากับเหว
ไม่มีใครยินดีที่จะตาย ถ้าไม่ถูกบังคับให้ไปตาย

นายทหารบางคนมาพร้อมกับความฝัน ...
สักวันนึงเขาคงได้เป็นครู ถ้าไม่เกิดสงครามที่เขาไม่ได้สร้างนี้ขึ้นเสียก่อน
สักวันนึงเขาคงได้มีครอบครัวที่อบอุ่น ได้อยู่กับคนที่รักพร้อมหน้า

นายทหารบางคนอยากเป็นเกษตรกร
เขาคงมีความสุขมากมายกับทุ่งรวงข้าวสีทองในปลายฤดูร้อน

นายทหารบางคนก็อยากรักษาสัญญา
สักวันหนึ่งเขาต้องกลับไป และกลับไปทำในสิ่งที่เขาสัญญาไว้

แต่ทว่าความฝันเหล่านั้น ก็ยังคงเป็นเพียงแค่ความฝัน
ฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง ในเมื่อพวกเขาต้องไปตายเพื่อชาติ

น่าแปลกดีนะครับ พวกเขาต้องไปตายเพราะสงครามที่พวกเขาไม่ได้สร้างขึ้น
สงครามที่เกิดจากความผิดใจกันของผู้นำแค่ห้าหกคนบนโลก
ทำเอาผู้คนเดือดร้อนไปทุกหย่อมยาก ทำเอาความสงบสูญเสียสลายกลายเป็นอากาศธาตุ


ผมไม่รู้อีกนั่นแหละว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น น้ำตาท่วมญี่ปุ่นมากแค่ไหน
และเลือดของคนญี่ปุ่นเจิ่งนองอาบผืนแผ่นดินมากเท่าไหร่
แต่ที่ผมเศร้าสุดๆ คงจะเศร้าแทนคนโอกินาว่า
ทำไมองค์จักรพรรดิ์เลือกโอกินาว่าเป็นสมรภูมิรบระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกา
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ในสมัยก่อนโน้น โอกินาว่าก็แทบจะไม่ได้เป็นของญี่ปุ่น
อารมณ์คล้ายๆ กับฮอกไกโดนั่นแหละครับ

คนโอกินาว่าเกลียดพระมหาจักรพรรดิ์เข้าไส้ และไม่มีทางให้อภัยท่านได้
คนบนเกาะญี่ปุ่นก็ไม่ได้รักเทิดทูนพระมหาจักรพรรดิ์

ผมเคยถามคนญี่ปุ่นเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงกับพระมหาจักรพรรดิ์
เขาตอบผมมาตรงๆ ว่า "ไม่ชอบ" และไม่ได้รู้สึกอะไร
เขายังบอกผมอีกว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้รักจักรพรรดิ์ เหมือนที่คนไทยรักในหลวง

พ่อแม่พี่น้องครับ ผมฟังประโยคนี้แล้วน้ำตาจะไหลพราก
ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีพระมหากษัตริย์ให้รัก และท่านก็เป็นที่รักของผู้คนทั้งประเทศ
และผมโชคดีมากที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินที่มีพระมหากษัตริย์ที่รักประชาชน


สารคดีสงครามเมื่อวานก่อนนั้นก็ยังทำให้ผมเฝ้าสงสัยฉงนใจอยู่เหมือนทุกครั้ง
"คนญี่ปุ่นเคยเกลียดคนอเมริกาไหม?"

เหมือนคราวที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนพิพิทธภัณฑ์ที่ไปฮิโรชิม่า
นั่นก็แทบทำเอาน้ำในร่างกายของผมแทบหมดสิ้น
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคนญี่ปุ่นยังสามารถยอมรับการกระทำแบบนี้ได้

สงสัยถึงขั้นต้องไปถามโฮสแฟมิลี่ และได้คำตอบมาดังนี้
"ไม่ใช่ว่าคนญี่ปุ่นชอบคนอเมริกา แต่เพราะสงครามคราวนั้นญี่ปุ่นแพ้จริงๆ
เมื่อเป็นผู้แพ้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้นั้น"

โห...ฟังแล้วดูเป็นประเทศที่มีน้ำใจนักกีฬาสุดๆ
แพ้แล้วเลยเกลียดไม่ได้ ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับความพ่ายแพ้นั้นไป

นอกจากนั้นโฮสยังบอกอีกว่า
"ถ้าอเมริกาไม่โยนระเบิดสองลูกนั้นลงมา คนญี่ปุ่นจะไม่เลิกสู้
และประเทศญี่ปุ่นจะไม่เป็นญี่ปุ่นในแบบที่เห็นทุกวันนี้"

ผมเชื่อนะว่าคนญี่ปุ่นจะไม่เลิกสู้ และจะสู้จนกว่าจะชนะ
นี่แหละที่ผมนับถือความคิดเขา และคนของเขาก็เป็นแบบนี้เยอะ เยอะจริงๆ

ทำให้นึกย้อนไปถึงหนังเรื่องนึง
"Letter from Iwojima"

ฉากนึงในหนังที่นายพลใกล้ตายได้พูดกับพลทหารไว้
"พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นของประเทศญี่ปุ่นใช่ไหม?"
และพลทหารก็ตอบไปว่า "ใช่ครับ"
และนายพลก็ตายไปบนอิโวะจิมะที่ ณ เวลานั้นยังเป็นของประเทศญี่ปุ่น
บอกไม่ถูกว่ะ แต่เศร้าโคตร ...


ปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นเลิกพัฒนาทางด้านกองทัพอย่างสิ้นเชิง
(แม้อาจจะมีพัฒนาอย่างลับๆ ที่เรียกว่ากองกำลังปกป้องประเทศ)
ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับอเมริกาล้วนๆ
ไม่แปลกใช่ไหมล่ะที่เกาะที่มีพื้นที่น้อยกว่าบ้านเราครึ่งนึง
มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของผู้คนบนโลก ...

ผมไม่ได้คาดหวังว่าประเทศเราจะเป็นได้เหมือนประเทศญี่ปุ่น
และผมก็ไม่คิดว่าเราควรจะไปเป็นเหมือนเขาเสียทุกเรื่อง
ในเมื่อเราสามารถเลือกเป็น และเลือกเอาเฉพาะสิ่งดีดีไปใช้กับที่บ้านเราได้

หลังจากที่ผมได้ดูสารคดีนั้นจบลงก็ทำให้ผมได้มีโอกาสไปนั่งคิดนอนคิดอะไรหลายอย่าง
บางทีการที่ประเทศเราสามารถมีเอกราชได้ถึงทุกวันนี้
คงเป็นเพราะเรารู้จักการประนีประนอม มากกว่าถือดาบแลกเข้าฟัน

นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่เราโชคดีที่สุดที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินที่รู้จักการประนีประนอม
และคำว่ารู้จักประนีประนอม มันคงไม่ได้แปลว่าเรายอมถอยเสมอไป
ถ้าหากการถอยบ้าง จะทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้น
บางครั้งการประนีประนอมก็คงมีค่าดีเหมือนกันมิใช่หรือ

และผมคิดเอาเองว่าบางทีสิ่งสำคัญที่สุดของการพัฒนาไปของประเทศ
คงเป็นที่ประชาชนอย่างเราๆ ทุกคน รู้จักคำว่า "หน้าที่" มากกว่า "สิทธิ"

สิทธิมีก็พึงใช้ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้มันเสมอไป
จนบางครั้งเราก็ปล่อยให้คำว่า "สิทธิ" มีค่าเหนือกว่าคำว่า "หน้าที่"
จนเลยเถิดหาเหตุไม่ได้เลยว่าอันไหนสำคัญมากกว่ากันระหว่างสิทธิ และหน้าที่

ผมว่านะบางครั้งการที่เรารู้จักรู้รักษาหน้าที่ อาจจะสำคัญมากกว่าสิทธิในบางครั้ง
อย่างน้อยที่สุดการรักษาหน้าที่ ก็ทำให้เกิดสิทธิและสันติสุขสู่สังคมตามมา

ผมไม่ได้หวังว่าในช่วงชีวิตนี้ผมจะได้เห็นบ้านเราพัฒนาเทียบเท่าเขาในด้านเทคโนโลยี
แต่ผมก็แค่หวังว่าเราจะสามารถพัฒนาในสิ่งที่ไกลได้มากกว่าเขา
สิ่งนั้นผมเชื่อว่ามันจะทำให้ประเทศชาติเรามั่นคง และดำเนินต่อไปได้ตราบชั่วลูกหลาน
ผมเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังพัฒนามาไกลเกินกว่าเขา

สิ่งนั้นผมเรียกว่า "การพัฒนาทางด้านจิตใจ" เรามาไกลกว่าเขาแล้ว
ไฉนเลยเรายังยินดีที่จะถอยหลังกลับไป

ใช่ไหมครับ?

มี่เจอมาจาก http://future7.exteen.com/20080923/entry เลยเอามาไว้ให้อ่านกันงับ

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุ้น ๆ ว่า อยุ่ใน หนังสืออะไรสักอย่างจำไม่ได้
ช่วงนี้งานเยอะเหรอ
หรือเบื่อทำบล๊อคแล้ว